560708_รายการขอบุญโฮมสันติอโศก และให้นโยบายพาณิชย์บุญนิยม
เรื่อง


            พ่อครูเริ่มรายการตอน ๐๘.๓๐ น.

วันนี้ขอบุญโฮม เป็นวาระ ก่อนไปจำพรรษา ที่บ้านราชฯ วันนี้นอกจาก จะขอบุญโฮมแล้ว ก็มีเรื่องที่จะพูดกัน อย่างสำคัญ ในเรื่องของ พาณิชย์บุญนิยม ทั้งเรื่องอุดมคติ และนโยบาย ที่ต้องทำความเข้าใจกัน
            สังคมบุญนิยมเรา เดินทางมา พอสมควร พ่อครูก็พอใจ เรื่องการเดินทาง ของชีวิต และสังคม ที่พ่อครูได้มีส่วนร่วม มีส่วนร่วมคือ ได้เปิดเผย เผยแพร่ความจริง ซึ่งมั่นใจว่า เป็นความรู้ ที่พระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้ ที่มีสัมมาทิฏฐิ พ่อครูก็ได้นำมา ประกาศยืนยัน เผยแพร่ แม้จะขัดแย้งกับ กระแสหลัก กลุ่มหลักของโลกเขา
            พ่อครูเชื่อว่า ทั้งโลกเขาเชื่อว่า ศาสนาพุทธเขาเข้าใจว่า ศาสนาพุทธเป็นแบบ “กระเทย” คือแบบ กระเทยแท้ แก้ยากด้วย คือผิดเพศ ผิดภูมิ จนกระทั่ง จะแก้คืน ในชาติเดียว ไม่ได้ ตอบไม่ได้ว่า อีกกี่ชาติ จะแก้ได้ สำหรับคณะใหญ่ ถ้าตัดสิน ตามภูมิ พ่อครูก็ว่า แก้ไม่ได้เลย จนกว่า จะหมดศาสนาพุทธ อีก ๒๕๐๐ ปี
            ตอนนี้พลเมืองโลก ที่รู้จักศาสนาพุทธ ไม่เกินครึ่งหนึ่งของ เจ็ดพันล้านคน รวมค่า ของความเข้าใจ หรือสิ่งที่เขามีทิฏฐิ ของเขาว่า ความเป็นศาสนาพุทธ คืออย่างไร เอนเอียง ไปทางโลกีย์ พ่อครูพูดเลยว่า ไม่เข้าข่ายโลกุตระ
            ประเด็นที่โลกียะต่างจากโลกุตระคือ โลกุตระมีญาณปัญญา หยั่งถึงปรมัตถ์ (จิต เจตสิก รูป นิพพาน) รู้ว่าจิตเป็นอย่างไร เป็นนามธรรม มีอาการอย่างไร มันไม่มีสีสัน รูปร่าง อสรีรัง แต่มีจริง เป็นนามธรรม Abstract แต่ผู้มีญาณปัญญา สามารถรู้สัมผัสได้ ในเวทนา สังขาร

            พ่อครูทำงานมา ก็ถูกต้านทุกอย่าง เครดิตพ่อครู ติดลบมาก่อน ทั้งทางโลก ทางธรรม เขาพิพากษาว่าผิด ทั้งทางโลกทางธรรม พ่อครูทำงาน ตั้งต้นด้วยติดลบ ซึ่งพ่อครู ไม่เคยท้อแท้เลย จนผ่านมา ๓๐_๔๐ ปี ก็มีตัวจริง มาปฏิบัติ ไม่ได้เป็นคนโง่ ถูกหลอกลวงมา หรือถูกโน้นน้าว ด้วยจิตวิทยา ประเหลาะมา พ่อครูก็ไม่พยายามทำ ด้วยกรรม ๓ กระนั้น ก็ยังมีผล มั่นใจว่า เป็นความบริสุทธิ์ เอาตัวเอง เข้ามาเป็น อย่างที่ พ่อครูพาทำ มาเสียสละ ลดละ ทำเพื่อคนอื่น ไม่ได้ทำเพื่อตัวตน
            ทำอย่างไม่ฝืนเลย ทำอย่างจริงใจ เข้าใจว่าเป็นคุณค่ากับมนุษย์ มีปัญญาจริง มั่นใจ ที่จะทำ มี พลัง ๔ ดำเนินไปจริง (ปัญญา_วิริยะ_สังคหะ_อนวัชชะ) คุณมา ถ้ามี ๑๐๐ จะทำ ๑๕๐ ก็เกินทุน ระวังจะตายนะ
            มาถึงทศวรรษที่สี่ ก็ยืนยันความมั่นคงพอได้ คิดว่า  ถ้าทำให้ตน อายุยืนยาว กว่านี้ ที่จะทำอันนี้ ให้แข็งแรงกว่านี้ ก็ตั้งจิตยืนยาว ด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้ ที่พระพุทธเจ้าว่า โพชฌงค์ ๗ ทำให้อายุยืนยาว หายป่วย ได้อย่างไร?
            เป็นนามธรรมที่เข้าใจไม่ง่าย ส่วนอิทธิบาท ๔ เป็นยาดำ ในการทำทุกกรรม จะทำให้เจริญ อย่างน้อยต้องมีสัมมาทิฏฐิ และมีอิทธิบาท  ส่วนโพชฌงค์ เป็นเนื้อแท้ ที่จะทำให้อายุ ยืนยาวได้
            พ่อครูเป็นนักศึกษา ภูมิโพธิสัตว์ เมื่อมาถึงวันนี้ พวกเราชาวอโศก ได้เอาชีวิต มาทางนี้แล้ว ดูๆเด็กจะมากกว่าผู้ใหญ่ หรือผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ตอนแรก เด็กมากกว่า แต่ตอนนี้ ผู้ใหญ่มากกว่าเด็กแล้ว เป็นเรื่องจริงภูมิจริง ที่ไม่สามารถ หาซื้อได้ ในเซเว่นอีเลเว่น ไม่เหมือนกงเต๊ก ที่เขาซื้อบริวาร เผาไปให้กันได้ แต่นี่คนจริง ไม่ใช่คนกงเต็ก
            พ่อครูก็เอาความจริงเหล่านี้ มาชี้บ่งอ้างอิง ว่าเกิดในมนุษย์จริง คุณจะลดกิเลสได้ มากหรือน้อย ก็ของแต่ละคน มารวมกัน มีทิฏฐิ_ศีล สามัญตา ถ้าทิฏฐิหรือ ทฤษฏีเขา มิจฉา ก็ต่างจากสัมมา แม้จะเถียงว่า ของข้าสัมมา แต่ก็ต้องดู ที่ความเป็นจริง ที่ดำเนินไป ทั้งตัว ทั้งร่างทั้งชีวิต ว่าเราได้เคยมีโลกธรรม กามคุณพรั่งพร้อม แต่เราก็มาลดละ ปลดปล่อย บางคนก็มาได้ อย่างไม่ฝืน บางคนก็ต้องฝืน ก็จะมาเอา บางคนก็หักดิบมา ตายเป็นตาย หรือบางคน ก็ไม่ฝืน แต่ก็ยังติด เลยมาไม่ได้ ก็เชิญเลย สรุปว่า ตัวเองมาได้ ไม่ได้ติดมากหรอก มาง่ายก็มาได้ คนที่ยังฝืน เขามาได้นี่ก็ต้องชื่นชม ก็ตัวใครตัวมัน
            มนุษย์ก็มีโลกียะกับโลกุตระ แต่ก็มีนัยที่สูงสุด ถึงอรหันต์ ถ้าถึงแล้ว จะต่อภพภูมิ ไปต่อ ก็เป็นสิทธิ เป็นเรื่องจริง ขอยืนยัน ผู้อรหันต์ มีความรู้จริงว่า จิตตนจะหยุดไม่ต่อ เป็นอย่างไร
            จิตของอรหันต์ ที่จะต่อภพภูมิ คือจิตของผู้นั้น รู้จักกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ที่แท้จริง มีญาณของตน อ่านออกได้จริง อ่านออกว่า หยาบคืออย่างไร อย่างกลาง คืออย่างไร เราเอาหยาบออกได้ อย่างสนิท ตายไม่ฟื้น ก็เห็นได้ จนแม้แต่ อนุสัย เป็นกิเลส เล็กละเอียด ก็เห็นได้ เป็นหางช้าง ติดพวยกา เอาตัวช้างออกไปได้แล้ว เหลือแต่หาง ติดพวยกา
            ขนาดหางช้าง ก็เอาออกจากพวยกาได้แล้ว จะบ้าเหลือแต่หางช้าง เอาไว้ทำไม? เมื่อเรารู้ว่า แม้แต่ตัวปลายเราก็มีญาณ อ่านเห็นได้ แล้วล้างได้ มีอรหัตผลก็รู้ได้ ว่าจิตมัน ไม่เกิดไม่ดับ ไม่ตายไม่เป็น จะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ และจิตเช่นนี้ ก็จะต่อภพก็ได้ ไม่ต่อภพ ก็ได้ แล้วคุณจะหยุดจิตคุณ ไม่ต่อเลย ก็ทำได้
            อย่างคุณ หยุดกิเลสอบายได้จริง ไม่ต่อแล้ว ก็จะอ่านออก ของเราดับสนิท ไม่ฟื้น อสังหิรัง อสังกุปปัง มันไม่เกิดอีก ไม่ปฏิสนธิอีก ไม่สันตติอีก นี่ขั้นต้น คืออบายนะ อ่านจิตตน ให้ชัดเจน ไม่ได้ปิดบัง ไม่หลบหนี เราก็ชนกับอบายมุข สื่อสารก็มา มอมเมา ปิดทวาร ๖ ยังรู้เลย (นี่เปรียบเทียบว่า แรงมาก) เราก็ไม่เกิดอีก
            ไม่เกิดอีกคืออะไร ตัวนำเกิดคือจิต เมื่อจิตเป็นโสดาฯ ตายไปชาติหน้า คุณก็ไม่เกิดอีก แต่เมื่ออรหันต์ คุณก็รู้ว่า ไม่เกิดได้อีก อย่างชัดเจน นี่คือความจริง ที่เราต้องอ่านปรมัตถ์
            โลกุตระอ่านปรมัตถ์จริง แล้วมนสิการในใจให้จริง เราจัดการได้จริง โดยสามัญผล คุณจะรู้จริงเอง โดยไม่ต้องเชื่อใคร เรามีเอง เกิดเอง เป็นเอง มีกามลามสูตร คือไม่ต้องเชื่อ แม้แต่ศาสดาของเรา จะรู้ว่าปรินิพพาน เป็นเช่นนี้ ก็ตอบเองได้
            นอกจาก คุณจะไปสร้างความคิด สร้างภาวะทางจิต แล้วหลอกตนเองว่า ตนเข้าใจจริง ก็สัญญาวิปลาส กำหนดผิดว่าหมด ที่จริงไม่หมด ยกตัวอย่าง ง่ายที่สุด คนเข้าใจ แดนนิพพาน สองทิศ แดนหนึ่งแดนมืด อีกแดนหนึ่ง แดนสว่าง
            ๑. แดนมืดเขาไปนั่งสมาธิเข้านิโรธ คือดับหมด ว่าเป็นนิพพาน
            ๒. ทางสว่างก็ไปสร้างพุทธเกษตร เป็นแดนนิพพานสว่าง
            เขานิพพานด้วยกันทั้งคู่ แต่เขาสร้างภาวะนั้น คือ กายต่างกัน เขาได้องค์ประชุม ต่างกัน แต่เขาเรียกว่า นิพพานเหมือนกัน คือเขาได้กายนิพพาน สว่างและมืด ส่วนของพุทธ ไม่ทั้งสว่างและมืด ในนิพพานพุทธ
            ที่จริงก็นิพพานอย่างเดียวกัน แต่ใครจริง ใครไม่จริง สัญญาย นิจจานิ ก็จริง ตามสัญญาของใคร ไม่มีใครตัดสิน คุณก็เป็นอิสระเสรีภาพ พิสูจน์เอง อยากได้แบบดับ หรือสว่าง ก็พิสูจน์ หรือทำแบบพุทธ ดับกิเลสให้หมด คือนิโรธ คุณเลือกเอง อิสรเสรีภาพ จะยึดอันไหน ก็แล้วแต่ ไม่บังคับ อันไหนเป็นธรรมวาที ก็เอา ไม่ทะเลาะกับใคร อยากรู้จริง ก็ลองดู ว่าเป็นอย่างไร     

            ที่จริงพระพุทธเจ้าตรัสใน วิญญาณฐีติ ๗
            สว่างคือ อากาสาฯ และ วิญญานัญจายตนฌาน
            มืดคืออากิญจัญฯ และ  เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
            ทั้งสองอย่างคือ สัตตาวาส คือสัตว์สว่าง และสัตว์มืด

            คุณอาจไม่รู้ภาษาบัญญัติ แต่คุณปฏิบัติแต่แต่ภาษา คุณอธิบายอย่าง พ่อครูไม่ได้ พ่อครูมีนิรุติ ภาษาปฏิภาณ ที่เอาธรรมะ ออกมาอุเทศได้ พ่อครูรู้เนื้อแท้ และมีภาษา ซึ่งคุณ อาจมีเนื้อหา มีอัตถะแล้ว แต่ไม่มีนิรุติ ปฏิภาณ ที่จะสื่ออกมา
            ถ้าคนที่รู้ภาษามาก นิรุติมาก พวกใบลานเปล่า ก็ไม่มีสภาวะจริง แต่พูดให้คนอื่น รู้ได้ ถ้าพวกนี้ มีสัมมาทิฏฐิ ก็จะบรรลุได้ ในอนาคต แต่ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิ ก็จะหลอก คนอื่น ส่วนพวกเรา มีเนื้อแท้แล้ว แต่พูดไม่ได้ ไม่มีนิรุติภาษา ก็อธิบายใคร ไม่ค่อยเป็น ก็ไม่เป็นไร แต่คนที่ ไม่ทำคุณอันสมควรก่อน แล้วพร่ำสอนผู้อื่น ศาสนาจึงมัวหมอง

            พวกเราให้ระวังสังวร มีความรู้ความจริง ๑๐๐ แสดงแค่ ๘๐ ก็มากแล้ว อย่าคะนอง ต้องทำจริง ไม่อย่างนั้น พาเสีย พาบาป ทั้งตนเอง และศาสนา ระมัดระวังให้ดี
            พวกเราฟังไปเถอะ มันเหมือนเราเคาะข้อมูล ใส่คอมพิวเตอร์ ฟังไปก็เก็บไว้ ในสัญญา พอถึงเวลาต้องใช้ ก็ดึงเอามาใช้ได้

            สรุป... พวกเราได้ศึกษาปรมัตถ์ ที่พ่อครูได้ขยายมา วันนี้อธิบายอารมณ์ ปรินิพพาน เลยนะ ส่วนคุณจะปรินิพพาน หรือปริโยสาน ก็แล้วแต่คน ถ้าปริโยสาน ก็ทิ้งหมด ทั้งรูปและนาม หลัง กายัสส เภทา ปรัมมรณา ก็ไม่ตั้งจิต ต่อภพภูมิ เป็น อัปปณิหิตตนิพพาน คือปรินิพานโดย ไม่ตั้งจิตต่อ ไม่มีอะไรตั้งอยู่ จิตตัวนั้น ผู้มีญาณ รู้จริง ทำได้จริง หรือยกตัวอย่าง บางอย่างเราก็หยุดได้ เราหยุดได้หมดไหม เราจะรู้เอง

            ปัจจุบันเราทำงาน เอื้อมเอื้อเกื้อกว้าง ต่อสังคมเพิ่ม เพราะสินค้าอโศกเรา มีคนรู้จัก และเขาเห็นว่า มันดีจริงๆ สินค้าอโศก คืออะไร เด็กๆ?? .. .เด็กตอบว่า ข้าว....หลวงปู่หมายสินค้าอโศก คือ “มนุษย์อาริยะ” คนเขากำลัง มองออกว่า มนุษย์อย่างนี้ มีอยู่ เขาอยากได้ๆ สินค้าแบบนี้ มนุษย์แบบนี้ มีคนชักพอรู้บ้างแล้ว บางคนนี่ แต่ก่อนเขาเห็นว่า เป็นของเสียของเน่า แต่ตอนนี้ เขาชักเห็นดี มาอุดหนุนแล้ว

            ใครเป็นตัวสินค้า?.... ใคร? เราทุกคน ที่เป็นชาวอโศก คือตัวสินค้า ต้องทำ สินค้าให้ดี แล้วจะออกมาเป็น กรรม ๓ เอง คุณต้องมีกรรม ๓ ออกไป เมื่อเรามา รวมตัวกัน ก็มีพฤติภาพ รวมของอโศก ยิ่งมีปริมาณ และคุณภาพมาก ที่เจริญทั้งสอง สภาวะ ก็ยิ่งชัด เป็นประโยชน์ต่อผู้คน ไม่ต้องอวดอ้าง ของให้เรา ทำให้เกิดสินค้า ที่ดีจริง ก็จะเป็นไปได้เอง

            ใครจะหาว่าพ่อครูหลง พวกคุณก็อยู่กัน ให้เจริญขึ้นไป จนกว่าจะตาย อย่างมี สาราณียธรรม ๖ พุทธพจน์ ๗ ต้องเกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ อธิโมกข์จริง

            มาฟังสดๆ นี่ได้รับทุกอย่าง ทางทวาร ๖ กว่าดูทางทีวี คุณได้รับสดมาก ครบพร้อม บริบูรณ์กว่ากันเยอะ ใครเห็นว่าดี ก็พากเพียรทำกัน .....

จบ

++++++++

 

            ต่อไปเป็นเรื่องของ พาณิชย์บุญนิยม ร้านค้าเครือข่ายชาวอโศก

            เรื่องพาณิชย์บุญนิยม ที่เราทำได้คือ เราสามารถมีผลผลิต พาณิชย์ เราเน้น คือ ต้องผลิตเอง แล้วไปเผื่อแผ่คนอื่น เราจะไม่เน้น ซื้อมาจากคนอื่น นั่นเป็นพ่อค้าแม่ค้า มือสอง เราต้องเป็นพ่อค้า ชั้นหนึ่ง ผลิตเองขายเอง
            ส่วนพ่อค้ามือสอง นี่คือลัทธิทุนนิยม ที่เขาซื้อมา แล้วบวกกำไรมาก คือ เป็นหนี้มาก ซึ่งพ่อค้าแม่ค้า ชั้นสอง จึงสู้พ่อค้าแม่ค้า ชั้นหนึ่ง ไม่ได้ เราผลิตเอง เรารู้ต้นทุน ทุกอย่าง แม้เราจะประเมินค่าตัวเรา ให้ได้เหมาะสม อย่าไปตั้งราคา ตนเองมาก เราตั้งขั้นต่ำ วันละ ๓๐๐ บาท เท่ากันคนไทยเรา บวกกับค่าโสหุ้ยอื่น แล้วก็คิด ราคาทุน
            แล้วเราก็ลดราคา เอาค่าตัวเรา มาลดราคา ถ้าคุณมีความสามารถจริงได้ ๓๐๐๐ แต่เรา ตีค่าตัวเรา ๓๐๐ ถ้าเราจะขาดทุนไป ๒๐๐ เอามากินใช้แค่ ๑๐๐ ถ้าขยายมาเป็น ๓๐๐๐ แต่คุณลด มาเอาแค่ ๑๐๐ นั้นคือสัจจะ คุณได้บุญ หรือสิ่งดีงาม มากกว่านั้น ดังนั้น การตีราคา ตนเองต่ำ ไม่ได้เสียเลย มีแต่กำไร ทั้งสองอย่าง คนไม่ฉลาด จะตีราคาตนสูง แล้วขี้โกง จริงๆคุณควรได้วันละ ๓๐๐ แต่ก็ตีราคาตน ๕๐๐ หรือ ๑๐๐๐ ก็ขาดทุนยับเยิน คุณจะมีกลวิธีอย่างไร ก็แล้วแต่ ให้คนจำนน ต้องจ่ายคุณมาก ก็เรื่องของคุณ แต่สัจจะ มันซับซ้อน

            สรุปเรื่องเหตุปัจจัยปัจจุบัน ตอนนี้เกิดเรื่องที่ว่า ... พวกเรายังมีกิเลส ยังอยาก มีส่วนได้ ก็เกิดภาวะ ยุ่งยากขึ้น ยากอธิบาย แต่สุดท้าย พ่อครูก็ต้องพาทำ โดยออกมาเป็น “ธรรมนูญ” ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีการหยวนกัน เห็นแก่กัน หย่อนให้ แต่ตอนนี้ เราจะรวม สามบริษัท ก็ต้องชำระให้สะอาด

            ผู้ใดที่ยังละเมิดอยู่ ไม่ตรง ก็ให้ปรับเปลี่ยนเสีย ปรับปรุงได้ก็ดี ซึ่งมีเรื่องที่เกิด แล้วก็มี การปรับ แล้วเขาก็สำนึกอยู่ ก็เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย พ่อครูก็จะอ่าน “ธรรมนูญบุญนิยม ร้านค้าเครือข่ายชาวอโศก” ให้ฟัง
            ๑. กรรมการ พนักงาน จะต้องไม่ผลิต หรือนำสินค้า มาให้ร้านค้า ในเครือข่าย ชาวอโศก ทุกแห่ง จำหน่ายรวมไปถึง สามี ภรรยา (ซึ่งถือว่า เป็นบุคคลเดียวกัน)
            ๒. ญาติ ของบุคคลในข้อ ๑ ซึ่งได้แก่ พ่อแม่ พี่น้อง ลูก ป้า น้า อา ฯลฯ ก็ผลิต หรือนำสินค้า มาให้ร้านค้า ที่บุคคลในข้อที่ ๑ ทำงานอยู่ จำหน่ายไม่ได้ เช่นกัน
            ๓. อาสาสมัคร และญาติของอาสาสมัคร จะต้องไม่ผลิต หรือนำสินค้า มาให้ร้าน ที่อาสาสมัครนั้นๆ ช่วยงานอยู่ จำหน่าย
            ๔. บุคคลในข้อ ๒ และ ๓ สามารถผลิต หรือนำสินค้ามาให้ร้าน ในเครือข่าย ชาวอโศกอื่นๆ (ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน) จำหน่ายได้
            ประกาศ ณ วันที่ ๒๙ กรกฏาคม ๒๕๔๕

            พ่อครู..ขยายความว่า ทำไมเป็นธรรมนูญใจดำ มันเกิดตั้งแต่มี ชมร. เมื่อมี อาสาสมัคร มาทำ ก็มีการนำสินค้า ที่ตนผลิต มาจำหน่าย ก็เกิดการลำเอียง อยากจะขายของ ที่ตนนำมา มีเจ้าเดียว ก็ไม่เท่าไหร่ สองเจ้า ก็เขย่าหน่อย ถ้าสามเจ้า สี่เจ้า ก็ตีกันเลย ก็มีความซับซ้อน ท่าทีลีลาทะเลาะกัน ไม่สงบ เป็นสงคราม จิตวิญญาณ​ มีกิเลสโลภ ก็เลยว่า ถ้าคุณจะขาย คุณอย่ามาอยู่ในนี้  มากหรือน้อย ก็ระแวงกัน ที่เกิดปัญหา คือ โรคระแวง ทั้งเรื่องจริง และไม่จริง ก็มีคลื่นไม่สงบ เกิดตลอด
            ดูเหมือนใจดำ คนที่มาทำ ก็อาสามาทำ แล้วมีเวลาว่าง ก็ทำของมาขาย หรือ เอาของญาติ มาขาย เราก็ช่วยเต็มที่เลย ทำไมดูใจดำจังเลย ซึ่งทางโลก เขาอาจใช้ อำนาจบาตรใหญ่ ลำเอียงให้ได้ แต่ของเรา ไม่มีใครใหญ่ ทุกคนเท่ากัน จึงไม่ให้มี เหมือนกัน ที่ไม่ให้นี้คือ ไม่ใช่ใจดำ แต่เป็นการ มีเมตตาอย่างมาก สูงสุดคืนสู่สามัญ
            เป็นเรื่องยาก เราเลยต้องออก ธรรมนูญอันนี้ กว่าจะออกมาได้ ก็ต้องรัดรอบ ให้ละเอียด ขนาดนี้ ยังมีการเฉโก เล็ดลอดได้อีก

            ถามว่าชาวชุมชน ถือเป็นอาสาสมัครหรือไม่?.... ร้านไหน? ที่คุณไปทำ? ญาติของ ชาวชุมชน ก็มาขายได้ ในชาวอโศกเรา นี่แหละ ที่มีของบริสุทธิ์ ของดีมาขาย ถ้าเป็น ชาวชุมชน ก็ไม่ควรทำ ควรไปขายร้านที่ ไม่ใช่ร้านชุมชน
            เมื่อมาถึงวันนี้ เราก็ควบรวมบริษัท ซึ่งป่านน ี้ก็ยังรวมกันได้ ไม่ค่อยดี เพราะคน สะสมอัตตา ก็ยากไปถึงแย่ มันก็ไปไม่รอด ก็ขอให้พวกเรา เสียสละเถิด ฝืนหน่อย ละกิเลสตนไป พากเพียรให้เกิดพฤติกรรมใหม่ ไม่เห็นแก่ได้ เรามาลด ความเห็นแก่ตัว เป็นเรื่องหลัก ก็เห็นแก่หลักเกณฑ์ เพื่อความเจริญ
            ที่เรายังไม่ใหญ่ เพราะเรื่องเล็กน้อย เรายังไม่หัดไม่ฝึกเสียสละ ถ้าเราเสียสละ มากขึ้น เราจะแข็งแรงขึ้น เสียสละมากขึ้น มวลก็จะโตขึ้นอีก ทำงานได้มากขึ้นอีก
            ที่พลังบุญ ถือว่าเป็น อาทิกัมมิกะ คือกรณีตัวอย่าง หรือต้นเรื่อง ที่ตนเอง ก็เข้าใจแล้ว พวกเราไม่ได้โหดร้ายต่อกัน แต่เราเห็นแก่ส่วนรวม มากกว่าส่วนตัว พวกเรา มีฉลาดไม่เฉกา รู้สัจจะแท้ ก็รู้อยู่ 

            คนที่เป็นนี้ เขาไม่อยากให้พ่อครูมาเปิดเผย เพราะเขาอาย ซึ่งอายนี้คือ อัตตา แต่พ่อครูว่า การเปิดเผยนี่คือ วิธีการปลงอาบัติ ของพระพุทธเจ้า ให้พวกเรา รู้ความจริง บอกเฉพาะ ในหมู่พวกเรา ไม่ได้ไปพูด ที่สนามหลวง คนข้างนอก เขาไม่รู้เรื่อง กับเราหรอก เขารู้อาจจะมาว่า เราบ้าเสียอีก ว่าเป็นวิธีการ ที่เขาไม่เอาอยู่แล้ว แต่พวกเราเอา เราต้องมาเปิดเผย มาปลงอาบัติ แล้วมันจบ
            ลักษณะของผู้ที่รู้ว่า เราทำสิ่งไม่ควร พอรู้แล้ว เราก็มาปรับ มาทำสิ่งที่ควร มันดีใช่ไหม? ผู้รู้แล้ว เขาก็มาทำ สิ่งที่ควร ก็จบแล้วนี่ ดีแล้วนี่ ซึ่งถ้าเราไม่มี กรณีพวกนี้ มันคิดไม่ออกหรอก ภาวะย้อนแย้งอย่างนี้ เพราะจิตวิญญาณ มันลึกซึ้ง ซับซ้อน พ่อครู ก็ต้องตรอง อย่างหนักเลย ซึ่งถ้าอนุโลมไป มันก็จะบานปลาย ไปเรื่อยๆ ก็จบเห่เลย
            ถ้าผู้ใดไม่ติดว่า จะต้องทำอย่างนั้น ก็เลิกเสีย ส่วนคนที่ติด ก็ต้องตัด มีพระบางรูป ท่านสอนว่า นโมตัสสะ คือให้ตัดเสีย ตัดซะ เป็นภาษาที่อธิบาย ง่ายๆ
            อย่าไปแข็งขืน ฝืนผิดเลย ต้องช่วยกัน ทำให้ดีขึ้น เพราะตัวเราเอง ถ้าสามารถ ตัดกิเลส มันต้องฝืน ต้องอดทน ตั้งตนบนความลำบาก แต่ถ้าต้องให้เรา เลิกจริง มันจะอยู่ ไม่รอด ก็ต้องออกไปก่อน อย่าทำผิดหลัก ธรรมนูญเลย เพื่อสิ่งสำคัญ เราต้องยอม แม้ต้อง ขาดคนไป ก็จำเป็นต้องทำ แต่ถ้าคุณว่า อันนี้ใหญ่ ว่ามีประโยชน์กว่า ก็ตัดของตนเองไป พ่อครูไม่ได้บังคับหรอก เอาไปตัดสินเอง เพื่อขันชะเนาะ ซึ่งตัวคนนี่แหละ เป็นหลัก ถ้าเจริญขึ้น ก็จะมีพลังสร้างสรร ต่อสังคมมากขึ้น
           
            ต่อไปเป็นปัญหา ที่มีร้านค้าของกลุ่ม หรือบุคคล มาเชื่อมโยงกันอโศก

            ก็มีปัญหาอีกอันหนึ่งคือ พวกเรามาตั้งร้านค้า หรือกลุ่ม มาตั้งองค์กร เชื่อมโยง หรือซับซ้อน กับชาวอโศก เช่น มาตั้งร้านค้าส่วนตัว มาจับกลุ่มกัน แล้วก็มาตั้งร้าน อย่างเช่น หัวใจมังสวิรัติ ก็หยุดไปแล้ว แต่ก็จะกลับมาทำอีก จริงๆพวกเรา มันเฉโก แต่ก็มีทั้งคน ตั้งใจจริง และคนแฝงมา ก็ไปไม่รอด แต่ถ้ามาทำรวมกันแล้ว เพื่อส่วนใหญ่ ส่วนกว้าง มันก็ไม่ขัดกัน แต่ทำไม่จริง ก็ไปไม่รอด ถ้ามีคนจริงใจ รวมกัน ก็ไปรอด
            แต่ถ้าส่วนตัวนี่สิ ไปไม่รอด ไม่มีใครตรวจสอบ แล้วมีมาแสดงตัวแฝง มากับอโศก ใครมาทำงานกับอโศก ใครจะโลภก็บาป ผู้ใดมาแสดงความโลภในนี้ ก็ได้บาปแล้ว ยิ่งทุจริตซ้อนในโลภ ก็เป็นของคุณนะ  ถ้าไม่รู้ก็แล้วไป แต่ถ้ารู้ เราต้องห้าม ถ้าขั้นทุจริต เราต้องห้าม หยุด แต่ถ้าขั้นโลภนี่ ต้องพิจารณา ว่าจะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง อย่างไร เราก็ช่วยกันอยู่ เราไม่ได้ใจดำนะ           
            พ่อครูก็อยากให้สติ กับคนที่ทำส่วนตัว แต่ส่วนรวมนั้น ก็อยู่ที่ความจริงของคน ที่ไปร่วมกันว่า จะลดละได้แค่ไหน ก็ไปปรับกันเอง ในหมู่คณะ ปรึกษาหารือกัน เรามาทิศทางนี้ ต้องมาทิศทาง ลดละ เสียสละ ต้องมายอม
            ยิ่งเป็นส่วนตัวแล้ว ก็ไม่อยากพูดมาก เพราะส่วนตัวก็อิสระ แต่มาอยู่ในนี้ ก็ต้อง ประมาณดีๆ ถ้ามาเพื่อใช้โอกาสหากิน เพราะชาวอโศกใจดี ยิ่งมาแล้วมีลักษณะ ประชานิยม คือดูเหมือนแจกจ่าย เอื้อเฟื้อ ในอโศกเรา ก็มีนักประชานิยม ซ้อนอยู่ มีเหตุการณ์อยู่หลายคดี มีลักษณะ ประชานิยมทั้งนั้น
            ประชานิยมคืออะไร คือเลี้ยงคนอื่น แต่เอาของส่วนกลาง เงินส่วนกลาง มาเลี้ยง ทั้งนั้น เหมือนไทยเรา ขณะนี้ เขาร้อยจมูกคนไทย ให้เป็นลูกกะโล่ เป็นบริวาร เห็นแก่เล็ก แก่น้อยทั้งนั้น “ควายเห็นแก่หญ้า ปลาเห็นแก่ขี้” ปลานี่ชอบขี้นะ ลองลงไปดูสิ แป๊บเดียว หายหมดเลย
            เราต้องชัดเจน ว่าเรามีลักษณะซับซ้อน แอบแฝงหรือไม่ แอบแฝงมากกว่า ที่คุณจะมาลดละ ก็มาสู่ส่วนกลางได้ยาก
            ขณะนี้เด็กอโศกเรา จบไปแล้ว มาอยู่ข้างวัดเยอะ พ่อครูตราหน้าว่า ถ้ายังทำ อย่างนี้ต่อไป ไม่มีทางเจริญ ทางโลกุตระได้ ก็ได้แต่หนี้บาป หนี้บาป ในหมู่คนบาป มันไม่แพง แต่ทำหนี้บาป ในหมู่คนบุญนี้ บาปราคาแพง
            บาปกับบุญมีราคา เราให้ของชิ้นนี้แก่หมา ก็ได้บุญน้อยกว่าให้คน เราให้แก่คน ที่มีคุณค่า ต่อสังคมมากเท่าใด ก็ได้บุญมากเท่านั้น
            ถ้าเรามาแย่งของคนบุญ มากเท่าใด ก็บาปมากเท่านั้น เพราะที่นี่ มาเอาง่าย เพราะพวกเรา ไม่แย่งชิงแข่งขันกัน สรุปว่า อย่ามาทำบาป บนกองบุญ เป็นสัจจะ ก็เตือนไว้ หัดปฏิบัติธรรม เด็กเราก็ไม่อยาก ให้ห่างหรอก ก็รู้ว่าเขายังดีใจ ในสมรรถนะ ที่ทำได้ แต่ก็เตือนให้หัดลดละ อย่าสะสมมาก เพราะสัจจะ ก็เป็นสัจจะ พูดอย่างเมตตา ถ้าปรับปรุงแก้ไข

            ชีวิตนี้พ่อครูก็สรุปว่า...พวกเรานี่ พ่อครูได้พยายาม ให้ความรู้มาก่อน ตอนนี้ ก็จำเป็นต้องลุย ให้ความรู้ไป ก็ไม่ประมาท  ว่าต้องอยู่ไปอีกนาน อาจตายวัน ตายพรุ่ง ก็ได้ ดังนั้นจึงต้องขยายต่อ ในส่วนที่สูงขึ้นไป ให้จบให้ละเอียด ครบครัน พวกเราก็มี ผู้ที่ขยายต่ออยู่แล้ว พวกเราควรเอาใจใส่ โดยเฉพาะนักบวช สมณะ สิกขมาตุ ที่จะต้อง ทำงานต่อ หรือผู้ใหญ่ที่จะต้อง ทำงานกับคนอื่นอีก ก็พยายามบ้าง
            เราเองทั้งด้านเศรษฐกิจ, การศึกษา, อาชีพ ก็พัฒนาเจริญ
            เศรษฐกิจคือ เราจัดการตัวเอง ให้มักน้อยสันโดษ และขยันมากขึ้น แล้วเผื่อแผ่ คนอื่น มากขึ้น นี่คือหลักเศรฐกิจใหญ่ เราต้องทำให้สังคม ได้รับการสะพัด โดยเรามี ปฏิกิริยา เราต้องขยันสร้างให้มาก แล้วเราลดกิเลสเราก็ต้องแจกจ่าย สะพัดให้มาก
            การสะพัดหรือการทำทาน แจกจ่าย พระพุทธเจ้าว่า ต้องมีปัญญา การสะพัดโดยไม่มีปัญญา จะไม่เกิดผลดี เช่น อย่าตามใจเขา เราให้คนที่เหมาะสม อย่าเห็นแก่เงิน จงเห็นแก่คุณค่า
            การศึกษาก็ดี หรือด้านอื่นๆ ที่เราทำงานกับสังคม ที่เป็นงาน ที่เราเลือกแล้ว ว่าเหมาะสม เราก็ค่อยทำ เท่าที่เรามีสมรรถนะ มีแรงงาน ตอนนี้ งานของเราตกคน ไม่ใช่คนตกงาน งานเรายังขาดคน มาทำงานร่วมอีกมาก
            ทั้งแบบที่งาน ไม่มีรายได้ ร้อยเปอร์เซ็นเลย ในหลายฐานงานของเรา ต้องใช้ การช่วยเหลือเฉลี่ย จากแหล่งที่จะมีรายได้ ส่วนแหล่งที่มีรายได้ เราก็ต้องทำอยู่ เราไม่ใช่องค์กร สังคมสงเคราะห์ ของเราคือ ชุมชนที่จะสงเคราะห์ผู้อื่นให้มาก เหมือนกับ สังคาสงเคราะห์
            พ่อครูกล้าพูดว่า องค์กร NGO ที่เขาตั้งมาสงเคราะห์คน แต่เชื่อไหมว่า เป็นแหล่ง หากิน ของคน
            พวกเราเป็นชุมชนสังคม มาฝึกหัดล้างกิเลสจริง มันเป็นไปได้ แม้ยุคกิเลสหนา ก็มีคนทำได้ จนถึงสาธารณโภคี ก็มั่นใจที่สุด ทุกองค์กรเรา มีสามแบบ คือ ๑.ที่ต้องขายบ้าง มีรายได้เข้ามา ๒.หรือบางองค์กรมีรายได้ แต่ไม่เอารายได้ หรือ  ๓. องค์กรที่ไม่มีรายได้เลย มีแต่รายจ่ายทั้งหมด ก็มี
            อย่างบ้านราชฯ ก็ยังมีคนงาน หมู่บ้านข้างเคียง มาเป็นคนงานในบ้านราชฯ บางอย่าง เราต้องอาศัย แรงงานเขา เป็นการเกื้อกูลกัน อย่างน้อยมาอยู่ที่เรา ต้องไม่ประพฤติละเมิด สิ่งที่เรากำหนดนะ เช่น ไม่ให้สูบบุหรี่ เป็นต้น คนพอใจ ก็มาทำมาเอา ไม่แค่รายได้ ที่เขาเลือกทำกับเรา เพราะมีน้ำใจด้วย เราไม่จ้างอย่างแพง แต่หลายคนก็มาทำกับเรา หลายคนมาทำงานกับเรา ก็เป็นคนอโศกเลย ก็มีอยู่
            ส่วนพวกเรา ที่เป็นสมาชิก มาอยู่แล้ว ก็พยายามหน่อย ไม่อย่างนั้น ก็เป็นคนที่ เราก็ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ อบายมุข ก็ไม่มี ศีล ๕ เราก็แจ๋ว ก็อยู่อย่างนี้ แต่ก็ขี้เกียจ คนเขา ต้องการให้ไปช่วยทำงาน ก็ไม่ไป เราก็ระริกระรี้เพลิดเพลิน ไปตามประสา อย่างนี้ ก็ให้ดูตัวเองหน่อย บางที เขาเรียกแล้ว ๕ ที เราไปได้ แต่ก็ไม่ไป มีผีมากระซิบ ทำอย่างไร เราจะเป็นคนขมีขมัน ช่วยส่วนรวม        
            หลายคนมีจริต ช่วยเหลือส่วนรวม ช่วยเพื่อนฝูงดี เป็นคุณธรรมที่ดีที่แท้ ต้องสำนึก พากเพียรทำไป
            พ่อครูว่ายังไม่เก่ง ที่จะพูดถึง สิ่งที่ท่านตรัสรู้ พ่อครูว่า ไม่เก่ง ที่จะพูดให้พวกเรา เปลี่ยนแปลงทันที แต่พวกเรา มีทิฏฐิสามัญตาว่า นิพพานคือ หมดเนื้อหมดตัว ไม่ขี้เกียจ ขยัน แคล่วคล่อง ปราดเปรียว ช่วยเหลือกัน คิดดูว่า ถ้าพวกเรา มีลักษณะอย่างนี้ จะมีความเจริญ อย่างทันกาลอย่างไร มีพอที่จะแจกจ่าย แก่สังคม
            ทุกวันนี้ สังเกตดูผลผลิตเรา จะเหลือเฟือแล้วนะ อย่างผลไม้ที่สวน ที่ศีรษะอโศก ก็เก็บไม่ทันเลยล่ะ ต่อไปจะเป็นสวนทุเรียน สองร้อยปี เจ้าของสวน ก็นั่งนับเงิน อย่างเดียว ให้เขามาประมูล มาเก็บเองด้วย นี่คือ กิจกรรม มีผลเจริญ แม้โรงงาน ก็จะสร้างความแข็งแรง มั่นคง มันจะช่วยเรา ในระยะยาวนาน ในความมั่นคง แข็งแรง ของนักผลิต สร้างสรร
            ไม่ว่าจะกสิกรรม หรืออุตสาหกรรม เมื่อเข้าฝัก มีการรวมตัว จะมีลักษณะ งานเบาขึ้น ผลผลิตมากขึ้น คนพัฒนา มากขึ้น
            พวกแบบทุนนิยมคือ ถ้ามีตัวปลิงมาดูดเลือด จะเจริญช้ากว่า สาธารณโภคี จะเจริญเร็วกว่า “คนมีคุณ บุญมีค้ำ กิจกรรมมีผลเจริญ” คนมีคุณแล้ว ส่วนบุญมีค้ำ หมายถึง ทั้งการลดกิเลส และการสร้างสรร ก็จะมีกิจกรรม ที่มีผลเจริญ เป็นเศรษฐศาสตร์ ที่เจริญ ทั้งบุคคล วัตถุ สิ่งแวดล้อม
            เราเก่งกสิกรรมไว้ก่อน กินได้มากกว่าอุตสาหกรรม อุตสาหกรรม ไม่มีทางสู้ กสิกรรมได้หรอก เราไม่มีเครื่องอุตสาหกรรม ก็อยู่รอด ไปถามผีตองเหลืองสิ ไม่สน อุสาหกรรมเลย ยังไงอุตสาหกรรม ก็เป็นเรื่องรอง กสิกรรม

            พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อาหารเป็นหนึ่งในโลก” “ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง” ไม่ใช่ว่า คอมพิวเตอร์ เป็นหนึ่งในโลก ไม่ใช่จรวด เป็นหนึ่งในโลก ให้ทุกคนฟังธรรม แล้วเอาไปทำ อย่าฟังธรรม แล้วเอาไปทิ้ง….....

จบ
       

 
๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่สันติอโศก